พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และพระปางบรมสุข
พระสิทธัตถะ ได้เสด็จอยู่ตามลำพังทรงฝึกฝนอบรมจิตให้สงบ และในเช้ากลาง
เดือน 6 ทรงรับข้าว “มธุปายาส” จากนางสุชาดา ซึ่งเข้าใจว่าพระองค์ว่าเป็นเทพยดา
จึงนำข้าวมธุปายาสไปถวาย หลังจากเสวยแล้วพระองค์ได้ทรงลอยถาดในแม่น้ำ
เนรัญชรา ทรงรับหญ้าคา 8 กำ จากนายโสตถิยะมาปูลาดเป็นอาสนะ (ที่นั่ง) ณ โคน
ต้นโพธิ์
ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ผินพระพักตรสู่เบื้องบูรพาทิศ ตั้งจิตแน่แน่วว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาน จักไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ ในคืนนั้นท้าววสวัตตีเข้าทำ
การขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของพระมหาบุรุษแต่ก็พ่ายแพ้ไป พระมหาบุรุษทรง
บำเพ็ญเพียรต่อที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย
เรียกว่าการเข้าฌาน เพื่อเป็นบาทของวิปัสสนาญาณ จนเวลาผ่านไปพระองค์ได้
บรรลุถึงญาณต่าง ๆ ดังนี้
ปฐมยาม ทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ การระลึกชาติในอดีต ทั้งของตนเองและผู้อื่นได้
มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
รุ่งปัจฉิมยาม ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ คือ รู้วิธีกำจัดกิเลส (มาร) ด้วย อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงพบกับความสุขสว่างอย่างแท้จริง ซึ่งเรียกกันว่าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลก ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ณ พุทธคยา กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา
และครั้นเมื่อพระองค์ พบความสุขสว่างอย่างแท้จริง ซึ่งเรียกกันว่าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนั้นพระองค์ออกจากสมาธิและพักผ่อนด้วยท่านั่งกึ่งนอน ที่เรียกว่า ปางบรมสุข ซึ่งจะพบเห็นได้ที่ประเทศภูฏาน
พระพุทธศาสนา คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และคำสั่งสอนนี้ ถ้าจะกล่าว
อีกอย่างหนึ่ง ก็คือเรื่องของความจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เป็นแต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ แล้วนำมาชี้แจงเปิดเผย พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าสภาพธรรม หรือทำนองคลองธรรม เป็นของมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นหรือไม่ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมนั้น ๆ แล้วนำมาบอกเล่าให้เข้าใจชัดขึ้นความจริงหรือสัจธรรมที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาตินี้จึงเป็นของกลางสำหรับทุกคน และมิใช่สิ่งที่ประดิษฐ์หรือคิดขึ้นตามอารมณ์เพ้อฝัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ความจริงในลักษณะ 3 อย่าง คือ รู้ตัวความจริง รู้หน้าที่อันควรทำเกี่ยวกับความจริงนั้น และรู้ว่าได้ทำหน้าที่สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ตราบนั้นพระองค์ก็ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าตรัสรู้แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความจริงนั้นพระองค์ได้ทรงลงมือปฏิบัติจนค้นพบประจักษ์แล้ว พระองค์จึงได้นำมาสั่งสอน
สัจธรรมหรือความจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น
ได้แก่ ทรงรู้แจ้งหรือรู้อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 อย่าง ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย
นิโรธ มรรค ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
1) ทุกข์ คือความทุกข์, สภาพที่ทนได้ยาก, สภาวะที่บีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสารและความเที่ยงแท้ ไม่ให้ความพึงพอใจแท้จริง ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความปรารถนาไม่สมหวัง หรือปัญหาของชีวิตทั้งหมด
2) สมุทัย คือสาเหตุของทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 หรือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา หรือสาเหตุของปัญหาชีวิต
3) นิโรธ คือความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา หมดสิ้นตัณหาแล้ว ไม่ติดข้อง หลุดพ้น สงบ ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ คือนิพพาน หรือภาวะหมดปัญหา
4) มรรค คือทางดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มัชฌิมปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง คือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายามะ พยายามชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ และสัมมาสมาธิ ตั้งจิตชอบ หรือแนวทางแก้ปัญหาชีวิต
พระปางบรมสุข
พระปางบรมสุข หมายถึง หลังจากพระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และเกิดความสุขสว่าง พระองค์จึงพักผ่อนอย่างมีความสุข มีให้เห็นกันมากในประเทศภูฏาน อย่างไรก็ตาม พระอาจารย์ธงชัย ธัมมกาโม เจ้าอาวาสวัดแดงประชาราษฎร์ ต.บางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ท่านได้อัญเชิญพระปางบรมสุข มาเพื่อเป็นแบบในการสร้างองค์จำลองไว้ที่วัดแดงประชาราษฎร์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทย พร้อมกันนี้ ได้สร้างรูปหล่อลอยองค์ พระปางบรมสุข เพื่อให้สาธุชนผู้มีจิตศรัทธา ได้บูชาติดตัวไว้เป็นสิริมงคลอีกด้วย
|