ต้นแบบ พระบรมสุข
วัดแดงประชาราษฏร์ จ.นนทบุรี
ประเทศไทยกำลังจะมี
"บรมสุข"
27 ก.ย. 61 นำพระบรมสุขขึ้นประดิษฐานบนพระธาตุนครพนม
และพระธาตุ อุงฮัง สะหวันนะเขต ประเทศลาว
ขออนุญาติจัดสร้างพระบรมสุข
ที่พุทธคยา
สำหรับแก้ปีชงได้ทุกปี
(บูชาองค์ละ 999 บาท)
ลงรักปิดทอง 1,999 บาท
|
พระบรมสุข หรือวิมุตติสุข หมายถึงความหลุดพ้น
เป็นวัตถุประสงค์มุ่งหมาย
ของการปฎิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา |
|
พระพุทธรูปปางบรมสุขมีลักษณะเด่นคือ
นั่งอย่างราชสีห์
พระพักตร์อิ่ม มองไม่เบื่อ
ยิ่งมองยิ่งมีความสุข |
|
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาคือ
ทำไมพระพุทธรูปปางนี้จึงไม่มีในเมืองไทย
ทั้งที่เป็นเมืองพุทธ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม
|
|
คำถามที่ตามมา
ทำไมเราไม่แบ่งปันให้ผู้อื่นบนผืนแผ่นดินไทย
ได้รู้ ได้เห็น และได้บูชากันบ้าง |
|
ตัดสินใจ
ถ้าเราไม่เริ่มในตอนนี้แล้วจะต้องรออีกนานเท่าใด. |
|
ในปีพุทธศักราช 2558
พระพุทธรูปปางบรมสุขนี้
จะเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจของชาวพุทธได้อย่างแน่นอน
เพราะ พระพุทธเจ้า ยังมีชีวิตอยู่
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม"
|
|
พระพุทธรูปปางบรมสุข
เหมาะกับการนำไปมอบให้กับผู้ใหญ่ หรือคนที่เคารพ รัก
เป็นการแสดงความเคารพรักที่เรามีต่อเขา |
|
มอบสิ่งใดที่จะมีคุณค่าทางจิตใจเทียบเท่ากับมอบ บรมสุข |
|
พระบรมสุขคือพระบรมครูสอนกรรมฐาน
(ยืน เดิน นั่ง นอน)
ภาพนี้เป็นภาพปริศนาธรรม
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ในสติปัฎฐานสูตร
"ฐิโต วา ฐิโตมฺหีติ ปชานาติ" (เมื่อยืนอยู่ ก็รู้ว่ายืนอยู่)
"คัจฺฉันโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ"
(เมื่อเดินอยู่ ก็รู้ว่ากำลังเดินอยู่)
|
|
"นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธาย
ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตวา"
(นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า)
"สยาโน วา สยาโนมหีติ ปชานาติ"
(เมื่อนอนอยู่ ก็รู้ว่ากำลังนอนอยู่)
|
|
ภายในวิหารพระพุทธเมตตา |
|
ต่อหน้าพระพักตรพระอวโลกิเตศวร
พระศักดิ์สิทธิ์ของมหายาน |
|
ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ |
|
นำพระบรมสุขขนาดเล๋็กมาอธิษฐานจิตขอบารมีพระพุทธองค์ |
|
เพื่อนำไปบรรจุใต้ฐานองค์พระบรมสุขขนาด 5 นิ้วต่อไป |
|
พระบรมสุข
หมายถึงการบรรลุธรรม (พระนิพพาน)
|
|
นิพพานเป็นบรมสุข คือสุขอย่างยิ่ง
"นิพพาน" เป็นสนุทิฏฐิโก หมายถึงบุคคลเห็น ได้ด้วยตนเอง
|
|
นิพพาน" ที่ว่า "เห็นเอง" คือ
เห็นอย่างนี้ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสอธิบายนี้
เห็นธรรมก็คือ เห็นภาวะหรือสภาพแห่งจิตใจของตนเอง
ทั้งในทางที่ดีและในทางที่ไม่ดี
จิตใจเป็นอย่างไรก็ให้รู้อย่างนั้น ตามที่เป็นจริง
ดังนี้ เรียกว่า เห็นธรรม
|
|
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว
แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้น
มีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ
ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้
ทรงเกิดความท้อพระทัยว่า
จะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน
|
|
ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก
บางพวกสอนได้
บางพวกสอนไม่ได้
เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า
ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรม
เพื่อมวลมนุษย์ชาติต่อไป |
|
บัว ๔ เหล่า ได้แก่
๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ
เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ
เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
(อุคฆฏิตัญญู)
|
|
๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ
เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว
พิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม
จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า
เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
(วิปจิตัญญู)
|
|
๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ
เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว
พิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ
มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ
มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ
ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ
ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
(เนยยะ)
|
|
๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
แม้ได้ฟังธรรม
ก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้
ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ
ไร้ซึ่งความเพียร
เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม
ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา
ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
(ปทปรมะ)
|
|
|
เจริญพร
|
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ในสติปัฎฐานสูตร
"ฐิโต วา ฐิโตมฺหีติ ปชานาติ" (เมื่อยืนอยู่ ก็รู้ว่ายืนอยู่)
"คัจฺฉันโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ" (เมื่อเดินอยู่ ก็รู้ว่ากำลังเดินอยู่)
"นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตวา" (นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า)
"สยาโน วา สยาโนมหีติ ปชานาติ" (เมื่อนอนอยู่ ก็รู้ว่ากำลังนอนอยู่)
|
|
มีเรื่องเก่าแก่มาเล่าให้ฟัง
ถ้ามีพระ 3 องค์ มายืนอยู่หน้าบ้านของโยม |
|
พระองค์แรกจะบันดาลให้โยมมีโชคลาภ
และร่ำรวยเป็นเศรษฐี |
|
พระองค์ที่สองจะบันดาลให้โยมมีอำนาจ
เป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดิน |
|
พระองค์ที่สาม จะบันดาลให้โยมมีความสุข |
|
แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งคือ
ให้โยมเลือกนิมนต์พระเข้าบ้านได้เพียงองค์เดียวเท่านั้น |
|
อาตมาขอถามโยมทั้งหลายว่า
ถ้าเป็นโยม จะเลือกนิมนต์พระองค์ไหนเข้าบ้านดี
เจริญพร |
|
ถ้าเป็นอาตมา
จะเลือกองค์ที่สามคือ พระบรมสุข |
|
ถ้าเลือกองค์แรก โยมจะร่ำรวย แต่ไม่แน่ว่าจะมีความสุข
อย่างที่เห็นๆกันอยู่
คือรวยแล้วไม่มีความสุขก็มี
เพราะเมื่อรวยแล้วก็อยากจะรวยเพิ่มขึ้นไปอีก
ไม่มีที่สิ้นสุด (เกิดกิเลส) |
|
ถ้าเลือกองค์ที่สอง โยมจะมีอำนาจ แต่ไม่แน่ว่าจะมีความสุข
อย่างที่เห็นๆกันอยู่
คือมีอำนาจแล้วก็ยังอยากจะมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น
ถึงแม้จะเกษียณแล้วก็ยังอยากจะมีอำนาจ(กิเลส) |
|
แต่ถ้าเลือกองค์ที่สาม โยมก็จะมีความสุข
เมื่อมีความสุขแล้วกิเลสก็จะลดลงๆๆ
เงินทองและอำนาจก็จะ
หมดความหมาย
เจริญพร. |
พิธีเททองหล่อพระบรมสุข
ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว และ39 นิ้ว
วันที่ 8 มีนาคม 2558
เวลา 17.50 น.
|
ในวันที่ 28 พ.ย.ถึงวันที่ 4 ธ.ค. 2557
จะนำพระบรมสุข
ขนาดพกติดตัว
ไปอธิษฐานจิตที่พุทธคยา
บริเวณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
|
|
เพื่อนำมาบรรจุใต้ฐานพระบรมสุข
ขนาดฐาน 5 น้ิว |
|
ญาติโยมที่ต้องการบริจาคทองเหลือง
ที่ไม่ได้ใช้แล้ว |
|
หรือจะมาร่วมเททอง
หล่อพระบรมสุข |
|
ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว
จะสลักชื่อและนามสกุล
เพื่อเป็นพระประจำตระกูลก็ได้ |
|
หรือจะมาร่วมเททอง
หล่อพระบรมสุข
ในวันที่ 8 มีนาคม. 2558
เวลา 17.59น. |
"นัดถิ สันติ ปะรัง สุขัง"
บรมสุข |
|
พระบรมสุข
มีความสุขที่สุดในโลก |
|
พระบรมสุข
ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก |
|
พระบรมสุข
ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก |
|
|
เจริญพร
กำลังจัดสร้างหลายรุ่น หลายขนาด
เพื่อสมทบทุนหล่อ
พระพุทธรูปปาง"บรมสุข"
ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก
จะประดิษฐานไว้ที่
วัดแดงประชาราษฏร์ จ.นนทบุรี
จะเททองหล่อในช่วงงานประจำปี
|