ปฎิบัติธรรมแดนพุทธภูมิเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ครั้งที่ 9
27ม.ค.-7ก.พ. 2557
แจ้งมาให้สหธรรมมิกทราบล่วงหน้า
กุสินารา
สถานที่ปรินิพพาน
|
อาจารย์ศิริเดช ชาตะวีโร
วัดแดงประชาราษฏร์
|
|
จะสังเกตุได้ว่ามากุสินาราครั้งนี้
ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา
คือบริเวณองค์พระพุทธรูป
มีรั้วสะแตนเลสติดกระจกกั้นองค์พระ
เข้าถึงยากขึ้น
|
|
มองเห็นพระพักตร์
เหมือนพระพุทธองค์ทรงพักผ่อน
มองครั้งใดน้ำตาไหลทุกครั้ง
|
|
จะเข้าไปกราบที่พระบาทยังเข้าไม่ถึง
|
|
ได้แค่ยืนอยู่ห่างๆเอื้อมมือไปจับที่พระบาทเท่านั้น
|
ก่อนที่จะมาปฎิบัติธรรมในครั้งที่ 9 นี้
ได้คุยกับหัวหน้าทัวร์ และญาติโยมที่มาด้วยกันว่า
อาตมา มีความตั้งใจมาปฎิบัติธรรม จริงๆ
บางครั้งอาจจะต้องแยกตัวไปปฏิบัติภารกิจตามลำพังบ้าง
แต่จะไม่ทำตัวให้เป็นภาระกับหมู่คณะ
เพราะรู้ดีว่าการมาเป็นหมู่คณะมีข้อจำกัดหลายอย่าง
|
|
แยกหมู่คณะมานั่งเจริญสติ
เอาอารมณ์ขณะนั้นเป็นที่ตั้ง
ไม่ต้องภาวนา
บริเวณด้านหลังองค์พระ
ปรากฏว่าดีเกินคาด
|
|
ท่านศิริเดชกำลังเดินเวียนประทักษิณสามรอบ
บูชาพระพุทธองค์
|
|
หลังจากที่ญาติโยมสวดมนต์เสร็จ
ก็เริ่มทะยอยกันเข้ามาบริเวณด้านใน
|
|
การเจริญสติร่วมกันภายในบริเวณอาคาร
|
|
อาจารย์ศิริเดช ชาตะวีโร
วัดแดงประชาราษฏร์
|
|
อากาศภายนอกหนาวมาก
จึงต้องเข้ามาด้านในอาคาร
|
|
ญาติโยมกำลังเดินเวียนประทักษิณสามรอบ
บูชาพระพุทธองค์
|
|
ญาติโยมกำลังเดินเข้ามาภายใน
|
|
ญาติโยมที่มาใหม่
บางท่านก็เกิดความสลดสังเวช
บางท่านก็เกิดปีติ
จนน้ำตาไหลออกมา
(ควรที่จะต้องดีใจ เพราะคุณจะได้มาอีก)
|
|
ใครที่มีอาการอย่างนี้
จะได้มาอีกเป็นครั้งที่ 2-3-4
ครูบาอาจารย์ และพระผู้ใหญ่ที่
เราเคารพนับถือล้วนแต่มีอาการแบบนี้ทั้งนั้น
ต้องดีใจ หาที่ไหนไม่ง่าย
|
ลุมพินีวัน
สถานที่ประสูตร (เนปาล)
"เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้การเกิดใหม่มิได้มี"
|
ราชอาณาจักรเนปาล
|
เมือง...พุทธคุทยานุลุมพินี เมือง...มายาเทวีวิหาร
เมือง...พระมหาบุรุษประสูติกาล เมือง...ปาฏิหาริย์ ๗ ก้าวบาทเดินจร
เมือง...เปล่งอาสภิวาจา เมือง...เสาศิลาอโศกนุสรณ์
เมือง...เสด็จนิวัติพระนคร เมือง...เวสสันตรบำเพ็ญบารมีทาน
เมือง...เย็นกาย – ใจใต้ร่มโพธิ์ศรี เมือง...โบกขณีสุขเกษมศานดิ์
เมือง...มรดกโลกจักรวาล เมือง...ภาพโบราณล้ำค่าคู่บุรินทร์
เมือง...ราชกุมารีบารมีล้ำ เมือง...หัตถกรรมงามศาสตร์ – ศิลป์
เมือง...EVEREST สุดยอดศิขรินทร์ เมือง..น้อมจินต์กราบที่ประสูติพระพุทธองค์ฯ
|
|
ข้อมูลเนปาลโดยสังเขป
- ปี พ.ศ.๒๔๙๓ ได้แบ่งปันดินแดน ลุมพีนีจึงตกอยู่ในเขตปกครองของเนปาล
- เนปาลเป็นดินแดนของชาวเนวารี มีประชากรประมาณ ๒๓ ล้านเศษ
- คนในประเทศพูดภาษาเนปาลี ๕๒% มีพื้นที่ ๑๔๕,๓๑๙ ตารางกิโลเมตร
- ความยาวจากตะวันออกถึงตะวันตก ๔๘๕ กิโลเมตร และเหนือจรดใต้ ๑๖๐ กิโลเมตร
- พื้นที่เป็นภูเขา ๓๒%, ป่า ๑๔ % ,ที่เพาะปลูก ๑๓ %, แม่น้ำ ๔๑%
- ผู้คนนับถือฮินดู ๗๖%, พุทธ ๘%, อิสลาม ๓%, คริสต์ ๕๐,๐๐๐ คน
- องค์กรอิสระกล่าวว่า คนนับถือพุทธสูงกว่า ๔๐%
- รายได้เข้าประเทศปีละ ๖๐ ล้าน US จากนักท่องเที่ยว, หัตถกรรม, ทหารกูรซ่า และนักรบรับจ้าง
- มีเขาสูงที่สุดในโลกคือ EVEREST สูง ๘,๘๔๘ เมตร = ๒๙,๐๒๘ ฟุต
- เวลาเร็วกว่าอินเดีย ๑๕ นาที ไม่มีทางออกทะเล
|
|
- อัตราการแลกเปลี่ยน ๑๐๐ RS. อินเดีย = ๑๖๐ RS. เนปาล
- เงินอินเดียนำไปใช้ในเนปาลได้ แต่เงินเนปาลนำมาใช้ในอินเดียไม่ได้
- เนปาลภูมิใจในความเป็นเนปาล ๒ ประการ คือ
๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติในประเทศนี้
๒) ภูเขาที่สูงที่สุดในโลกอยู่ในประเทศนี้
|
|
ลุมพินี เป็นสถานที่ประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยนั้นเป็นพระราชอุทยาใช้สอยร่วมกันระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ ดังปรากฏในพุทธประวัติที่เราทราบชัด และศึกษากันมาแล้ว
ลุมพินี ปัจจุบัน ได้ค้นพบเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๘ โดย เซอร์อะเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม อธิบดีกรมการโบราณสถานของอินเดีย เพราะเหตุที่ได้พบหลักศิลาจารึกที่พระเจ้าอโศกมหาราชปักไว้ อักษรพรหมีที่จารึกอยู่แปลเป็นไทย ได้ความว่า “ในปีที่ ๒๐ แห่งราชการพระเจ้าเทวานัมปิยทัสสี พระองค์ได้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง กระทำสักการบูชา ณ สถานที่นี้ ซึ่งเป็นที่ประสูติองค์พุทธศากยมุนี ทรงสร้างรูปวิคฑะด้วยศิลา และทรงปักหลักศิลานี้ขึ้นไว้ เพื่อแสดงว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงประสูติ ณ ที่นี้ โปรดให้งดเก็บภาษีอากรที่หมู่บ้านลุมพินีและโปรดให้เรียกเก็บพืชผลแต่เพียง ๑ ใน ๘ ส่วน”
รูปวิคฑะนั้น ตามจดหมายของหลวงจีนถังซำจั๋ง ว่าเป็นรูปม้า ซึ่งหักตกลงมาอยู่กับพื้น
|
|
มายาเทวีวิหาร เป็นอาคารใหญ่ สร้งครอบแผ่นศิลารอยพระพุทธบาทที่ขุดค้นพบเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ และมีศิลาแกะสลักรูปการประสูติของสิทธัตถราชกุมาร พระนางสิริมหามายาพุทธมารดายืนเหนี่ยวกิ่งสาละ
|
|
ประเทศเนปาลมีความภูมิใจ
ที่ประเทศของตนเองมีสิ่งที่เลิศที่สุดในโลก 3 อย่างคือ
1. มีศาสดาเอกของโลก (พระพุทธเจ้า)
2. มีเขาที่สูงที่สุดในโลก (เอฟเวอเรสต์)
3. มีนักรบที่รบเก่งที่สุดในโลก (นักรบกูระข่า)
|
ภาพที่ลุมพินีมีน้อยเพราะ
อาตมาแยกไปเจริญสติด้านในอาคาร
เพราะรู้ว่าการมากับคณะมีเวลาไม่มากนัก
(แต่ทัวร์คณะนี้จัดให้ถึง 3 ชั่วโมง)
|
|
ทำบุญให้กับผู้บากไร้ 500 คน ต่อหนึ่งวัน
เป็นเงิน 7,000 รูปี
|
|
ญาติโยมฝากมาทำบุญ 3 วัน เป็นเงิน 21,000 รูปี
ขออนุโมทนา
|
|
เป็นสะพานบุญให้กับญาติโยม
(ญาติโยมฝากเงินไปทำบุญ)
|
|
ร่วมทำบุญและร่วมทอดผ้าป่าให้กับทุกวัด
(เป็นของตนเองและญาติโยมฝากเงินไปทำบุญด้วย)
อย่าลืมร่วมอนุโมทนาด้วยเจริญพร.
|
|
สระโบกขรณี เป็นสระน้ำใสสะอาด ได้รับการบูรณะดูแลเป็นอย่างดี เชื่อว่าเป็นที่สรงสนามพระวรกายแห่งมหาบุรุษและพุทธมารดา ในวันประสูติกาล
|
|
แวะมาที่วิหารทัชมาฮาล
ยิ่งใหญ่และอลังการ
แต่ทำเพื่อคนเพียงคนเดียว
|
|
|
|
|
พระพิฆเนศรปางเด็ก
|
|
เป็นภาพของเก่าคราวที่แล้ว ปฎิบัติธรรมครั้งที่ 8
ร่วมสาธยายพระไตรปิฏกนานาชาติครั้งที่ 9
|
|
มาอินเดียชอบใจอีกอย่างที่ไม่เหมือนเมืองไทยคือ
ขอบใจที่ท่านได้กดแตร
แต่ที่บ้านเราถ้าใครกดแตรถือว่ากวน ต.
|
|
มาคราวนี้มีอุปกรณ์นวดกระดูกนิ้วมือ
คลายเส้นเอ็นมาแจกญาติโยม
คนละหนึ่งอันด้วย
|
พุทธคยา
ต้นพระศรีมหาโพธิ์
สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พระอาจารย์ศิริเดช ชาตะวีโร
เตรียมห่มผ้าไตรพระพุทธเมตตา
|
มาพุทธคยาเกือบทุกครั้ง
สิ่งที่เคยทำเป็นกิจวัตรคือ
|
|
ห่มผ้าไตรพระพุทธเมตตาที่วิหารพุทธคยา
เนื่องจากเป็นสะพานบุญให้ญาติโยม
|
|
อากาศหนาว หนาวกายแต่อุ่นใจสาธุ
|
|
ปฎิบัติธรรมตามอัธยาศัยที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
|
|
อาจารย์ศิริเดช ปฎิบัติธรรมที่ข้างกำแพงรั้วด้านใน
ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
|
|
โยมโอภาส หัวหน้าคณะทัวร์ในครั้งนี้
|
|
ชื่อว่าดีบั๊ก เป็นคนฮินดู รูปหล่อ ใจเย็น
ที่สำคัญเป็นนักปฏิบัติธรรม
|
|
ดูจากช่วงที่หัวหน้าทัวร์
ทำงานรีบร้อน
|
|
ดีบักยังช่วยเตือนสติว่า
อย่าลืมนั่งสมาธิให้มากๆหน่อย
|
|
อาหารเบาๆ สบายๆ อิ่ม และไม่อึออัด
|
|
แวะเข้าห้องน้ำและฉันอาหารที่เตรียมเอาไว้
|
|
ฉันแค่อยู่ได้ ไม่อึดอัด
|
|
ดีบัก.จะเตรียมผลไม้สดไว้บริการ
ตลอดเส้นทาง
|
|
ไม่มีขาด มีแต่เหลือ
ที่สนใจคือเครื่องชั่งกิโลน่ารักดี
|
|
ผักสดๆมาแล้วจ้า
|
|
ด้านบนคือเทียนฮุดเจี้ย
(ฝ่ามือพุทธองค์) |
|
|
|
|
|
|
|
|
วัดเวฬุวันมหาวิหาร
วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
ที่เมืองสาวัตถี
เทียนเต็ก ซินแส
"มีคนเขาว่ามาอินเดีย เพื่อไหว้พระรับพร
แต่ไปเมืองจีนเพื่อไหว้เจ้ารับโชค"
วันนี้มีเรื่องเบาๆมาเล่าสู่กันฟังเพื่อความสนุกสนาน
ให้กับผู้ที่คิดว่าจะเดินทางจาริกไปยังดินแดนพุทธิภูมิ
ตามรอยพระศาสดา
ณ สาธารณรัฐอินเดีย
และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล
จากการสอบถามผู้ที่ได้เดินทางร่วมมากับคณะ
ประมาณหลายสิบคนว่า
เพราะใดจึงได้เดินทางมากับทัวร์คณะนี้
ได้รับคำตอบว่าเป็นเพราะทัวร์คณะนี้มีราคาแพงที่สุด
ได้สอบถามต่อไปอีกว่า
เมื่อรู้ว่ามันแพงแล้วทำไมยังเลือกมากับทัวร์คณะนี้
ได้รับคำตอบว่าที่เลือกมากับทัวร์คณะนี้ก็เพราะว่ามันแพงนะซิ
ก็เลยทราบว่าโยมคณะนี้เลือกเดินทางมากับ
ทัวร์ที่มีราคาแพงเป็นอันดับแรก
ส่วนการบริการจะดีหรือไม่ดีไว้เป็นอันดับหลัง
(คิดว่าของแพงต้องดี)
|
ทำไมต้องไปอินเดีย
ครั้งนั้นพระอานนท์เถรเจ้าได้กราบทูลพระองค์ว่า ในกาลก่อนภิกษุทั้งหลายที่ได้แยกย้ายกันไปจำพรรษาอยู่ตามชนบทในทิศต่างๆ เมื่อสิ้นไตรมาศครบ ๓ เดือนตามวินัยนิยมหรืออกพรรษาแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ย่อมจะเดินทางมาเฝ้าพระองค์เป็นอาจิณวัตร ก็เพื่อจะได้เห็นจะได้เข้าใกล้ จะได้อุปัฎฐากพระองค์ อันจะทำให้เกิดความเจริญทางจิต ก็มาบัดนี้เมื่อกาลแห่งการล่วงไปแห่งพระองค์แล้ว ก็แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายก็จะไม่ได้เห็น จะไม่ได้นั่งใกล้ จะไม่ได้สากัจฉา(สนทนาธรรม) เหมือนกับสมัยที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอีกต่อไป
เมื่อพระอานนท์กราบทูลดังนี้แล้ว พระตถาคตเจ้าได้ทรงแสดงสถานที่ ๔ ตำบลว่าเป็นสิ่งที่ควรจะดู ควรจะได้เห็น ควรจะเกิดสังเวช (ความสลดใจกระตุ้นเตือนจิตใจให้คิดกระทำแต่สิ่งดีงาม) แก่กุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา คือ
๑. สถานที่พระตถาคตเจ้าบังเกิดแล้วคือ ประสูติจากพระครรภ์มารดา ตำบลหนึ่งคืออุทยานลุมพินี
๒. สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณตำบลหนึ่งคือ ควงไม้โพธิ์ พุทธคยา
๓. สถานที่พระตถาคตเจ้าให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไป หรือแสดงปฐมเทศนาตำบลหนึ่ง คือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียก สารนาถ)
๔. สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุตำบลหนึ่ง คือ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา (ปัจจุบันเรียก กาเซีย) ให้เกิดความสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา
อนึ่ง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธามายังสถานที่ ๔ ตำบลนี้ ด้วยมีความเชื่อว่า พระตถาคตเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไปแล้ว ณ สถานที่นี้ และพระตถาคตเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทเสสนิพพานธาตุแล้ว ณ สถานที่นี้
ดูก่อนอานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใด เจติยจาริกของพระตถาคตเจ้าทั้ง ๔ ตำบลนี้แล้ว จักเป็นคนเลื่อมใส เมื่อกระทำกาลกิริยา(ตาย)ลง ชนทั้งหลายเหล่านั้น จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความ ๔ ตำบลว่าเป็นที่ควรเห็น ควรดู ควรให้เกิดสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธาด้วยประการฉะนี้แล
นี้เองเป็นที่มาของสังเวชนียสถาน ๔ แห่งในดินแดนพุทธภูมิ ที่ชาวพุทธทั้งหลายสมควรอย่างยิ่งที่จะไปนมัสการ กราบไหว้สักการะสักครั้งหนึ่งในชีวิต
|