โครงการพาพ่อลัดฟ้าจาริกแดนพุทธภูมิ
วันที่ 3 ธ.ค. 52 ขึ้นเครื่องบินเดินทางต่อไปยังเมืองพาราณสี เพื่อชมวิหาร อนาคาริกธรรมปาละ ผู้อุทิศตนเอาชีวิตเป็นเดิมพันจนกระทั่งชาวพุทธ ได้มีสิทธิในการดูแลพุทธคยา และก่อนที่จะได้ไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่วิหารถ้าไม่เล่าประวัติของท่านอนาคาริกธรรมปาละ บทความนี้ก็จะหมดความหมายไปทันที
ประวัติท่านอนาคาริกธรรมปาละ
ท่านอนาคาริกธรรมปาละ เป็นชาวลังกา ในขณะที่มีอายุ 29 ปี มาที่ประเทศอินเดียและได้ไปที่พุทธคยาได้เห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกทอดทิ้ง บังเกิดความสลดหดหู่ใจเป็นอันมาก ในฐานะที่ท่านเป็นชาวพุทธ ได้พยายามดำเนินทุกวิถีทางที่จะให้พุทธคยา คืนมาเป็นของชาวพุทธด้วยการตั้งสมาคมมหาโพธิ์ขึ้น และออกเรียกร้องให้ชาวพุทธทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น ไทย กัมพูชา พม่า อังกฤษ เนปาล ธิเบต ยะไข่ สหรัฐอเมริกา เปิดการเจรจากับมหันต์อย่างเป็นทางการ โดยได้นำภิกษุร่วมใจ 4 รูปไปพักอยู่ที่พุทธคยา ขอซื้อที่ดินพุทธคยาส่วนหนึ่ง ตอนต้นมหันต์ยอมขายที่ดินให้ตามความต้องการ พอจะเอาจริงกลับไม่ยอมขายให้ กลัวว่าจะเสียรายได้ มาในภายหลังจึงยอมขายให้แต่เพียงบางส่วน แต่พอจะวางเงินแบ่งโฉนดกัน ทางการอังกฤษเข้าแทรกแซง ขอให้เลื่อนไปก่อน อ้างว่าป้องกันความวุ่นวาย นิมนต์ให้กลับลังกาไปก่อน
ท่านธรรมปาละได้ดำเนินการต่อไปไม่หยุดยั้งเช่นการเข้าพบผู้ว่าการแคว้น เข้าเจรจากับพวกมหันต์ ออกวารสารมหาโพธิ์ เขียนบทความเผยแพร่ไปจนถึงยุโรป อเมริกา เข้าพบนักปราชญ์ ทางพุทธศาสนา เช่น ท่านแมกซ์มึน เซอร์เอดวิน อาร์โนลด์ เซอร์วิลเลี่ยม หันเตอร์ และพันเอกโอลคอตต์ และออกปราศัยที่ประเทศพม่า อังกฤษ สิงคโปร์ ไทย ลังกา เพื่อขอการสนับสนุนให้ช่วยสนับสนุน หรือให้กำลังใจก็ยังดี หรือแค่ขอพบหน้าก็ยังได้
ในปี พ.ศ. 2436 ท่านธรรมปาละได้กลับมายังพุทธคยาอีก พร้อมด้วย พันเอกโอลคอตต์ และ นายเอดซ์ นักเทววิทยาฝรั่งจากดาร์จีลิง เมื่อมาถึงพุทธคยา ประสพเหตุการณ์ร้ายแรง คือภิกษุที่ร่วมใจ 4 รูปได้ถูกลูกศิษย์มหันต์ทำร้ายทุบตีเกือบมรณะภาพ ในขณะที่ท่านกำลังท่องสาธยายพระวินัยและวิสัชนาธรรมอยู่ ท่านได้แจ้งให้พวกมหันต์ทราบและต้องการให้นำตัวคนร้ายมาลงโทษ แต่มหันต์ปฏิเสธ และยังบอกด้วยว่าจะไม่ยอมขายที่หรือให้เช่าที่ดินใดๆในเขตพุทธคยา และไม่ยอมให้ชาวพุทธเข้ามาในบริเวณพุทธคยา
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2434 ชาวพุทธได้นำพระพุทธรูปอายุ 700 ปี ที่พระสงฆ์ญี่ปุ่นมอบให้เข้าไปประดิษฐานในวิหารมหาโพธิ์ แต่พวกหัวหน้ามหันต์ไม่เห็นด้วย และขู่ท่านธรรมปาละว่า ถ้าขืนนำพระพุทธรูปเข้ามาก็จะจ้างคนประมาณ 5000 คนฆ่าท่านธรรมปาละ และในคืนนั้นพวกมหันต์ได้จับพระพุทธรูปโยนลงมาจากแท่น พระพักตรคว่ำลงดิน
ข่าวการโยนพระพุทธรูปออกจากพระวิหารมหาโพธิ์แพร่ไปในกลุ่มพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ท่านธรรมปาละได้นำเรื่องฟ้องศาล ศาลตัดสินลงโทษให้ศิษย์มหันต์ 3 คน จำคุกคนละหนึ่งเดือน และปรับคนละ 100 รูปี พร้อมทั้งพิพากษาให้ท่านธรรมปาละนำพระพุทธรูปออกไปเสียจากอานาเขตพุทธคยา ทั้งๆที่ในขณะนั้นพระพุทธรูปตั้งอยู่ในกุฏิพระพม่า
ในปีพ.ศ. 2467 ชาวพุทธในพม่า ลังกา และเนปาล เข้าชื่อกันร้องเรียนให้พรรคคองเกรสส์ของอินเดียสนใจพิเศษ และให้ตั้งกรรมมาธิการขึ้นสอบสวน โดยมี ดร. ราเชนประสาท เป็นประธาน พร้อมเสนอให้ปรองดอง โดยตั้งกรรมการฝ่ายชาวพุทธ 5 คน ชาวฮินดู 5 คน เป็นผู้ดูแลพุทธคยา ให้ให้ออกเป็นกฏหมาย
ในปีพ.ศ. 2530 เกิดมีขบวนการชาวพุทธผู้รักความเป็นธรรมจากมหาราชตะ มีภิกษุไซไซ ชาวญี่ปุ่นจากนาคปูระเป็นหัวหน้า และชาวพุทธจากทั่วโลกเดินทางมาเพื่อเรียกร้องให้ชาวพุทธได้มีสิทธิ์เข้าครอบครองพุทธคยาโดยสมบูรณ์ ตั้งข้อเรียกร้องให้นำศพมหันต์ที่ฝังไว้บริเวณวิหารมหาโพธิ์ออกไป พร้อมวิหารปัญจปาณฑป และศิวลึงค์ที่กลางพระวิหาร
ขบวนการชาวพุทธใหม่ได้ออกเดินทางไปทุกสถานที่ ขอร้องให้เดินทางไปเรียกร้อง คณะรัฐบาลจึงขอร้องให้พระผู้มีคุณวุฒิจากวัดต่างๆ เช่นธิเบต ลังกา พม่า ญี่ปุ่น ไปเจรจา ส่วนวัดไทยพุทธคยาได้มอบหมายให้พระครูสังฆกิจวิสุทธิ์ (วีรยุทโธ) ไปร่วมเจรจาที่กรุงราชคฤห์ ก่อนที่ขบวนผู้เรียกร้องจะเดิทางมาถึงโพธิวิหาร
พระสุเมธาธิบดี
“นักท่องยุโรป-อเมริกา รวมทั้งนักท่องรอบโลกหลายท่าน...ให้ข้อคิดเห็นว่า...
ที่ไปทุกแห่งแสนสะดวกสบาย ประเทศสนุกก็ว่าแสนสนุก...
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วก็หมดกัน
แปลกเป็นพิเศษก็คือ...ท่องอินเดีย สะดวกก็ไม่สะดวก สบายก็ไม่สบาย
สนุกก็ไม่สนุก แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว กลับคิดถึงอินเดีย...แปลกจริงๆ
...อินเดียมีอะไรหรือ ?”
(จาก...เรื่องแดนกำเนิดพระพุทธศาสนา)
|