สิ่งดีๆที่พรรคพวกส่งมาให้
บทสวดมนต์ก่อนนอนของผม ให้เริ่มสวดตั้งแต่บทบูชาพระรัตนตรัย กราบพระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย (นะโม 3 จบ) คำขอขมาพระรัตนตรัย ไตรสรณคมน์ ถวายพรพระ (อิติปิ โสฯ) พุทธชัยมงคลคาถา(พาหุงฯ)เพียง ๑ จบ จากนั้นให้สด อิติปิ โส เท่าอายุบวกดวย ๑ เสร็จแล้วให้แผ่เมตตาให้ตนเองแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ แผ่ส่วนกุศล เสร็จล้วจึงอธษฐานตามสิ่งที่ปราถนา จากนั้นจึงสวดพระคาถาและบทสวดอื่นๆ
คำบูชาพระรัตนตรัย อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระพุทธเจ้า ด้วยเครื่องสักการะนี้ ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระธรรม ด้วยเครื่องสักการะนี้ ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งต่อพระสงฆ์ ด้วยเครื่องสักการะนี้
กราบพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ(กราบ)สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ(กราบ)สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ(กราบ) พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานพระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้านมัสการพระธรรมพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์
นมัสการพระรัตนตรัย นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สวด 3 จบ) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
คำขอขมาพระนัตนตรัย วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระองค์จงทรงประทานโทษแก่ ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าแต่พระธรรมอันเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระธรรม เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระธรรมจงให้อภัยโทษแก่ ข้าพเจ้าถ้วยเถิด ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระสงฆ์ เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระสงฆ์จงให้อภัยโทษแก่ ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ไตรสรณคมน์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกเป็นครั้งที่สอง ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกเป็นครั้งที่สาม
ถวายพรพระ (อิติปิ โสฯ) อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ (พุทธคุณ) พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ(ความรู้ และความประพฤติ) เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว (คือ ไปที่ใดยังประโยชน์ให้ที่นั้น) เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ( ออกเสียงว่า วิญญูฮีติ ) (ธรรมคุณ) พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย* ปาหุเนยโย** ทักขิเณยโย*** อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (สังฆคุณ) ( * ออกเสียงว่า อาหุไนโย ** ออกเสียงว่า ปาหุไนโย *** ออกเสียงว่า ทักขิไนโย) สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคุลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ (คือพระอริยบุคคล ๘) นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
บทสวดมนต์ที่วิเศษที่สุดคือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วก็แผ่เมตตา ถ้าตั้งใจสวดอย่างต่อเนื่องทุกๆวัน ไม่ต้องไปสวดคาถาบทอื่นก็ได้
พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) คาถาแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ มงคลคาถาที่ใช้สวดเพื่อป้องกันภัยและเอาชนะอุปัทวันตราย ๑. พาหุง สะหัส สะมะภินิม มิตะสา วุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเส นะมารัง ทานาทิธัม มะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมัง คะลานิ พระจอมมุนีได้ทรง ชนะพญามาร ผู้นิรมิตแขนมากตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่คชสารชื่อครีเมขละ พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องก้องกึก ด้วยธรรมวิธี คือ ทรงระลึกถึงพระบารมี ๑๐ ประการ ที่ทรงบำเพ็ญแล้ว มีทานบารมีเป็นต้น ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น แม่พระธรณีบีบน้ำที่พระพุทธองค์กรวดลงพื้นดินทุกครั้งที่บำเพ็ญ บารมีมาแต่ปางก่อน น้ำจากมวยผมหลั่งไหลออกมาไม่จบสิ้น เหล่าพญามารถูกกระแสน้ำพัดพ่ายแพ้ไปหมดสิ้น ๒. มาราติเร กะมะภิยุช ฌิตะสัพ พะรัตติง โฆรัมปะนา ฬะวะกะมัก ขะมะถัท ธะยักขัง ขันตีสุทัน ตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมัง คะลานิ พระจอมมุนีได้ทรง ชนะอาฬวกะยักษ์ผู้มีจิตกระด้างดุร้ายเหี้ยมโหด มีฤทธิ์ยิ่งกว่าพญามารผู้เข้ามาต่อสู้ยิ่งนักจนตลอดรุ่ง ด้วยวิธีที่ทรงฝึกฝนเป็นอันดี คือ ขันติบารมี ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนี้ อาฬวกะยักษ์ อสูรร้ายที่ไล่ฆ่ากัดกินผู้คนเป็นอาหาร เป็นที่น่าหวาดกลัว ยังต้องสยบพ่ายแพ้ต่อพระพุทธเจ้า ๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัต ตะภูตัง ทาวัคคิจัก กะมะสะนีวะ สุทารุ ณันตัง เมตตัมพุเส กะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมัง คะลานิ พระจอมมุนีได้ทรงชนะพญาช้างชื่อ นาฬาคิรี เป็นช้างเมามันยิ่งนัก ดุร้ายประดุจไฟป่า และร้ายแรงดังจักราวุธและสายฟ้า (ขององค์อินทร์) ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ คือ พระเมตตา ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น พระเทวทัต ปล่อยช้างที่กำลังตกมัน ชื่อ นาฬาคิรี ให้วิ่งตรงมาทำร้ายทิ่มแทงพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ทรงแผ่พระเมตตา จนช้างนาฬาคิรีกลับเปลี่ยนทีท่าที่ดุร้ายกลับกลายเป็นแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์ ๔. อุกขิตตะขัค คะมะติหัต ถะสุทา รุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถัง คุลิมา ละวันตัง อิทธีภิสัง ขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมัง คะลานิ พระจอมมุนีได้ทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ทางใจอันยอดเยี่ยม ชนะโจรชื่อ องคุลีมาล (ผู้มีพวงมาลัย คือนิ้วมือมนุษย์) แสนร้ายกาจ มีฝีมือถือดาบวิ่งไล่พระองค์ไปสิ้นทาง ๓ โยชน์ ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพทุธชัยมงคลนั้น จอมโจรองคุลีมาล ที่เหี้ยมโหดน่าเกรงขาม ประหารผู้คนมากมาย เพื่อตัดนิ้วมาทำพวงมาลัยคล้องคอ วิ่งไล่ฟันพระพุทธเจ้า หวังจะได้นิ้วให้ครบพัน แต่ก็ไม่สามารถติดตามได้ทัน พระพุทธองค์จึงตรัสเทศนาสั่งสอนจนองคุลีมาลสำนักบาป ตามเสด็จออกบวช จนได้บรรลุพระอรหันต์ในที่สุด ๕. กัตวะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกา ยะมัชเฌ สันเตนะโสมะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมัง คะลานิ พระจอมมุนีได้ทรงชนะคำกล่าวร้ายของนางจิญจมาณวิกา ผู้ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์ เพราะทำไม้มีสัณฐานกลม (ผูกติดไว้) ให้เป็นประดุจมีท้อง ด้วยวิธีสมาธิอันงาม คือ ความสงบระงับพระหฤทัย ในท่ามกลางหมู่ชน ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น นาง จิญจมาณวิกา รับจ้างเหล่านักบวชเดียรถีย์ ทำไม้มากลึงผูกติดซ่อนไว้กับท้องและกล่าวร้ายว่ามีครรภ์กับพระพุทธเจ้า แต่ไม่สำเร็จ จึงวิ่งหนีออกมานอกวัดพระเวฬุวัน ทันทีที่ก้าวพ้นวัด ธรณีก็แยกสูบนางลงไปยังขุมนรกด้วยผลแห่งกรรมนั้น ๖. สัจจังวิหายะ มะติสัจจะ กะวา ทะเกตุง วาทาภิโร ปิตะมะนัง อะติอัน ธะภูตัง ปัญญาปะที ปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมัง คะลานิ พระจอมมุนีทรงรุ่งเรืองด้วยประทีป คือ ปัญญา ได้ชนะสัจจกนิกรนถ์ ผู้มีอัชฌาสัยในที่จะสละเสียซึ่งความสัตย์ มุ่งยกถ้อยคำของตน ให้สูงล้ำดุจธง เป็นผู้มืดมนยิ่งนัก ด้วยเทศนาญาณวิธี คือ รู้อัชฌาสัยแล้วตรัสเทศนาให้มองเห็นความจริง ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น เหล่าเดียรถีย์นักบวชผู้หลอกลวง ท้าประลองฤทธิ์กับพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ ลอยไปประทับยังยอดต้นมะม่วง ทรงปล่อยน้ำอุทกหลั่งไหลและเปล่งเปลวไฟออกจากพระวรกาย ซึ่งมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ เหล่าเดียรถีย์ได้เห็นประจักษ์ พากันเลื่อมใส ขอบวชเป็นสาวก ๗. นันโทปะนัน ทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะเถ ระภุชะเคนะ ทะมา ปะยันโต อิทธูปะเท สะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมัง คะลาน พระจอมมุนีได้ทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระพุทธชิโนรส นิรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพญานาคราช ชื่อ นันโทปนันทะ ผู้มีความหลงผิดมีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีให้ฤทธิ์ที่เหนือกว่าแก่พระเถระ ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น นันโทปะนันทะ นาคราชหลงผิดคิดว่าตนมีฤทธิ์มากกว่าพระพุทธเจ้า เนรมิตกายใหญ่โตพันเขาพระสุเมรุ แผ่พังพานบดบังแสงอาทิตย์ปิดหนทางเสด็จจนมืดมิด พระองค์จึงทรงให้ พระโมคคัลลานะ แปลงกายเป็นนาคราชใหญ่กว่าหลายพันเท่า กระหวัดรัดทรมาน นันโทปนันทะ จนยอมพ่ายแพ้ในที่สุด ๘. ทุคคะหะทิฏ ฐิภุชะเคนะ สุทัฏ ฐะหัตถัง พรัหมังวิสุท ธิชุติมิท ธิพะกา ภิธานัง ญาณาคะเท นะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมัง คะลานิ พระจอมมุนีได้ทรงชนะพรหม ผู้มีนามว่า พกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ สำคัญตนว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีความเห็นผิดประดุจถูกงูรัดมือไว้อย่างแน่นแฟ้นแล้ว ด้วยวิธีวางยาอันพิเศษ คือ เทศนาญาณ ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น แม้แต่ พกาพรหม ผู้ที่ถือตนว่าบริสุทธิ์กว่าผู้ใดในสามโลก ยังต้องยอมลดตนลงมาเมื่อเทียบกับความีศีลบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ เอตาปิ พุทธะชะยะมัง คะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะทันตี หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ นรชนใด มีปัญญา ไม่เกียจครัาน สวดก็ดี ระลึกก็ดี ซึ่งพระพุทธชัยมงคล ๘ บทนี้ทุกๆวัน นรชนนั้นจะพึงละเสียได้ซึ่งอุปัทวันตรายทั้งหลาย มีประการต่างๆเป็นอเนก และถึงซึ่งวิโมกข์ (ความหลุดพ้น) อันเป็นบรมสุขแล
มหาการุณิโก มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลังฯ ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ประกอบแล้วด้วยพระมหากรุณา ยังบารมีทั้งหลายทั้งปวงให้เต็ม เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดมแล้ว ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง อะหัง วิชะโย โหมิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปาราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะ เหมือนพระจอมมุนีทรงชนะมาร ที่โคนโพธิพฤกษ์ ถึงความเป็นผู้เลิศในสรรพพุทธาภิเษก ทรงปราโมทย์อยู่บนอปราชิตบัลลังก์อันสูง เป็นจอมมหาปฐพี ทรงเพิ่มพูนความยินดี แก่เหล่าประยูรญาติศากยวงศ์ฉะนั้นเทอญ เวลาที่สัตว์ (สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย) ประพฤติชอบ ชื่อว่า ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี และ ขณะดี ครู่ดี บูชาดีแล้ว ในพรหมจารี บุคคลทั้งหลาย กายกรรม เป็นประทักษิณ (การกระทำความดีอันเป็นกุศล) วจีกรรม เป็นประทักษิณ มโนกรรม เป็นประทักษิณ ความปรารถนาของท่าน เป็นประทักษิณ สัตว์ทั้งหลาย ทำกรรมอันเป็นประทักษิณแล้ว ย่อมได้ประโยชน์ทั้งหลาย อันเป็นประทักษิณ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เม ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เม ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เม ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อเทอญ
อิติปิ โส เท่าอายุ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ ให้สวดเกินอายุ ๑ จบ เช่น อายุ ๓๐ ปี ต้องสวด ๓๑ จบ
บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง อะหัง สุขิโต* (ตา) โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข นิททุกโข* (ขา) โหมิ ปราศจากความทุกข์ อะเวโร* (รา) โหมิ ปราศจากเวร อัพยาปัชโฌ* (ฌา) โหมิ ปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง อะนีโฆ* (ฆา) โหมิ ปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ มีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด *หญิงเปลี่ยนจาก โต เป็น ตา, โข เป็น ขา, โร เป็น รา, โฌ เป็น ฌา, โฆ เป็น ฆา
แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อัพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด
แผ่ส่วนกุศล อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้ามีความสุข อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของ ข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข อิทัง เม คุรูปัชฌาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้ามีความสุข อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง มีความสุข อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง มีความสุข อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ
พระคาถาชินบัญชร เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งขึ้นก่อนเจริญภาวนาชินบัญชรตั้งนะโม 3 จบก่อน แล้วระลึกถึงและบูชาเจ้าประคุณสมเด็จด้วยคำว่า ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตัง สุตตะวา อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ มรณังสุขัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ
๑. ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนังจะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลายผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์ ทรงพิชิตพระยามาราธิราช ผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว เสวยอมตรสคือ อริยสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ๒. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา ขอให้พระพุทธนราราสภจอมมุนีนายกทั้ง ๒๘ พระองค์ มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าตัณหังกร เป็นาอทิ บรรดาที่ประทับนั่งเหนืออาสนะชัย ทรงชำนะมารพร้อมด้วยพาหนะ ได้ดื่มรส คือ จตุสัจธรรมอันประเสริฐ จงมาประดิษฐานอยู่ ณ เบื้องกระหม่อมของข้าพเจ้า ๓. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิไล จะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่บนศีรษะ พระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง พระสงฆ์ผู้เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณอยู่ที่อก ๔. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะวานะเก ขอให้พระอนุรุทธเถระ จงมาประดิษฐานอยู่ที่ดวงหทัยแห่งข้าพเจ้า พระสารีบุตร จงมาประดิษฐานอยู่ ณ เบื้องขวา พระโกณทัญญะ จงมาอยู่ ณ เบื้องหลัง และพระโมคคัลลานะ จงมาอยู่ ณ เบื้องซ้าย ๕. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามโสตะเก ขอให้พระอานนท์และพระราหุล จงอยู่ ณ โสตเบื้องขวา พระกัสสปะและพระมหานามะทั้งสององค์ จงอยู่ ณ โสตเบื้องซ้าย ๖. เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร นิสินโน สิริสัมปันโน โสภีโต มุนิ ปุงคะโว ขอให้พระโสภิตจอมมุนี ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริดังพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ที่ทุกเส้นขน ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ๗. กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร ขอให้พระกุมารกัสสปเถระ ผู้มีวาทะอันไพจิตรเป็นบ่อเกิดแห่งคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ จงมาประดิษฐานอยู่ที่ปาก (วทเน) แห่งข้าพเจ้าเป็นเนืองนิจ ๘. ปุณโณ อังคุลิมาโลจะ อุปาลี นันทะสีวะลี เถรา ปัญจะอิเมชาตา นะลาเฏ ติละกา มะมะ ขอให้พระเถระ คือ พระปุณณะ พระองคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสิวลี พระเถระทั้ง ๕ องค์นี้ จงเกิดเป็นประดุจต่อมไฝ หรือรอยเจิมที่นลาฏ (หน้าผาก) แห่งข้าพเจ้า ๙. เสลาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา ขอให้พระอิสีติมหาเถระชินนะสาวกชิโนรส ผู้พิชิตชำนะมารรุ่งโรจน์อยู่ด้วยเดชแห่งศีลนอกจากนั้นจงมาสถิตอยุ่ที่อวัยวะน้อยใหญ่ (แห่งข้าพเจ้า) ๑๐. ระตะนังปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุต ตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง ขอพระรัตนตรัยสูตรจงอยู่ข้างหน้า เมตตาสูตรจงอยู่ข้างขวา พระธชัคคสูตรจงอยู่ข้างหลัง พระองคุลีมาลสูตรจงอยู่ข้างซ้าย ๑๑. ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา ขอพระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร จงเป็นเพดานกางกั้นในอากาศ ๑๒. ชินา นานา วะระสังยุตตา สัตตัปปาการะลัง กะตา วาตะปิตตาทิสัญชาตา พาหิรัชฌัต ตุปัททะวา ขอบบรรดาพระสูตรอันประเสริฐต่างๆ ของพระชินเจ้าทั้งหลาย นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยกำลังนานาชนิดมีศีลาทิคุณอันมั่นคง คือสัตตะปราการเป็นอารมณ์มาตั้งล้อมเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดชั้น ๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้าไม่ว่าจะทำกิจการใดๆ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในพระบัญชรแวดวงล้อมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายในอันเกิดแต่โรคร้าย คือโรคลมหรือโรคดี เป็นต้น เป็นสมุฏฐานจงกำจัดให้พินาศไปอย่าให้เหลือ ๑๔. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะหีตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสา สะภา ขอพระมหาบุรุษผุ้ทรงพระคุณเจ้าอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้นจงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในภาคพื้น ท่ามกลางพระชินบัญชร ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกป้องรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล้ว ๑๕. อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะ รามิชินะปัญชะเรติ ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับการอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม จึงชนะเสียได้ซึ่งอุปัทวะอันตรายใดๆ ด้วยอานุภาพ แห่งพระชินะพุทธเจ้า ชนะข้าศึกศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ปฏิบัติและรักษาดำเนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจนิรันดร์ เทอญฯ |
ผลบุญ - ผลกรรม
ปัจจุบันเป็นขุนนางเพราะเหตุใด ชาติก่อนนำทองคำสร้างพระพุทธรูป
มีรถนั่งมีเรือขี่เพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนสร้างถนนทำสะพาน
มีเส้อผ้าแพรพรรณประดับการเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนบริจาคเสื้อผ้าให้ผู้ยากจน
มีอาหารกินอิ่มอุดมสมบูรณ์เพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้ แก่ผู้ยากจน
ที่ไม่มีจะกินไม่มีจะใส่เพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนไม่เคยบริจาคทานแม้แต่น้อย
มีตึกรามบ้านช่องอยู่เพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวสารช่วยผู้ยากไร้
มีบุญบารมีมีวาสนาเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนสร้างวัดสร้างศาลา
มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนบูชาพระพุทธรูปด้วยดอกไม้หอม
มีปัญญามีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนสวดมนต์สรรเสริญพระนามพระ พุทธเจ้า
มีภรรยาดีมีมารยารพร้อมเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนได้สร้างบุญกุศลร่วมกัน
สามีภรรยามีอายุยืนยาวเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนได้แต่งริ้วธงประดับหน้าพระพุทธรูป
มีพ่อแม่อยู่ครบเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนเห็นอกเห็นใจผู้กำพร้า
ไม่มีพ่อแม่เพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบยิงนกตกปลา
มีลูกหลานเยอะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบปล่อยนกปล่อยปลา
เลี้ยงลูกไม่รู้จักโตเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบเจ็บแค้นผู้อื่น
ชาตินี้ไม่มีลูกเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนข่มเหงรังแกลูกชาวบ้าน
ชาตินี้อายุยืนเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบซื้อสัตว์ปลดปล่อยชีวิต
ชาตินี้อายุสั้นเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ชาตินี้ไม่มีภรรยาเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบผิดประเวณี ข่มขืนลูกเมียเขา
ชาตินี้เป็นหม้ายเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบดูหมิ่นดูแคลนสามี
ชาตินี้เป็นธาตุเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น
ชาตินี้มีหน้าตาดีเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนเติมน้ำมันตะเกียงบูชาพระ
ชาตินี้ตาบอดเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบอ่านหนังสือลามก
ชาตินี้มีปากแหว่งเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบกล่าวร้ายใส่ความผู้อื่น
ชาตินี้หูหนวกเป็นใบ้เพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนปากร้ายชอบด่าว่าพ่อแม่
ชาตินี้หลังค่อมเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนหัวเราะคนที่ไหว้พระ
ชาตินี้มืองอแขนคดเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนคยตีพ่อแม่
ชาตินี้ขาเป๋ตีนแปเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนทำลายถนนและสะพาน
ชาตินี้เป็นวัวเป็นควายเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนเป็นหนี้เขาแล้วไม่ใช้คืน
ชาตินี้เป็นหมูเป็นหมาเพราะเหตุใด เพาระชาติก่อนมีใจคิดหลอกลวงเขา
ชาตินี้มีโรคมากเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนดีใจที่เห็นผู้อื่นเคาระห์ร้าย
ชาตินี้สุขภาพดีเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนบริจาคยารักษาโรค
ชาตินี้ต้องติดคุกติดตะรางเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนเห็นคนตกอยู่ในอันตรายแล้วไม่ช่วย เหลือ
ชาตินี้ต้องอดอาหารตายเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนหัวเราะขอทาน
ชาตินี้ต้องถูกเขาวางยาเบื่อตายเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนเบื่อปลาในคลอง
ชาตินี้โดดเดี่ยวทุกข์ทรมานเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนใจบาปคิดแต่จะทำลายผู้อื่น
ชาตินี้แคระแกรนเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบเหยียดหยามดูแคลนคนรับใช้
ชาตินี้อาเจียนเป็นโลหิตเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนคอยปลุกปั่นยุแหย่คนอื่นให้แตกแยกกัน
ชาตินี้หุหนวกเพระเหตุใด เพราะชาติก่อนฟังธรรมแล้วไม่เชื่อ
ชาตินี้เป็นฝีหนองเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนทารุณสัตว์
ชาตินี้ตัวมีกลิ่นเหม็นเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น
ชาตินี้ต้องแขวนคอตายเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนทำลายเขาเผื่อผลประโยชน์ตน
ชาตินี้เป็นหม้ายโดดเดี่ยวเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนไม่รักลูกรักภรรยา
ชาตินี้ถูกฟ้าผ่าตายเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนพูดจาเสียดสีผู้ออกบวช
ชาตินี้ถูกสัตว์ร้ายกัดตายเพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนชอบก่อศัตรูคู่อาฆาต
สรรพกรรมที่ก่อไว้ตามสนอง ต้องตกนรกทุกข์ทรมานจะโทษใครเล่า
อย่าพูดว่ากฏแห่งกรรมไม่มีใครเห็น กรรมสนองเร็วก็ตกที่ตัวเอง
กรรมสนองช้าก็ตกกับลูกหลาน หากบุคคลใดก็ตามยึดมั่นในกฎแห่งกรรม
จะได้ไปเกิดในสุขาวดีแดนพุทธเกษตร ความเจริญมั่งมีศรีสุขก็จะมาเยือน |