ทำไม อเมริกา ที่มีระบบการแพทย์ดีที่สุดในโลก ถึงคุมโควิดสู้ ไทย ไม่ได้

ประเทศอเมริกา ที่มีระบบการแพทย์ที่ดีที่สุด กลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก ตายมากที่สุดในโลก กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของไวรัสโควิด

วิธีการรักษาโรคใหม่ๆ บริษัทยา, Bio-technology

และการแพทย์ ที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกจำนวน 31 บริษัท

เป็นบริษัทอเมริกาถึง 17 บริษัท

บริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ Johnson&Johnson ก็เป็นบริษัทอเมริกา

ต้องการวิธีการรักษาใหม่ๆ ที่ล้ำยุค และมีสตางค์พร้อมจ่าย

มีโรงพยาบาลชั้นเยี่ยม หมอชั้นยอด ตัวยาดีๆ รออยู่

มีระบบการแพทย์ดีเป็นอันดับ 2 ของโลก

ที่เน้นด้านการค้นคว้าวิจัยตัวยา และวิธีการรักษาโรคใหม่ๆ

เพียงแค่ไปขอใบรับรองแพทย์ว่า สุขภาพแข็งแรง สามารถขึ้นเครื่องบินได้ (Fit to Fly)

ใช้หูฟังจิ้มฟังการหายใจของปอด ใช้เวลาตรวจราว 5 นาที

วัดความดัน คิดค่าตรวจ 5,000 บาท (130 ปอนด์)

และคิดค่าพิมพ์ใบรับรองแพทย์อีก 1,500 บาท (40 ปอนด์)

ทั้งที่จริงๆ ก็มีแบบฟอร์มข้อความมาตรฐานอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว

เจ้าหน้าที่แค่พิมพ์ชื่อ วัน เดือนปีเกิด ใส่ลงไปเท่านั้น

อุดฟันธรรมดาที่คลินิกหมอฟัน ริมถนน ซี่ละ 12,000 บาท

ทำไม ฝรั่ง จำนวนมากบินมารักษาโรค ทำฟันที่ประเทศไทย

เมื่อ บิล คลินตัน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.2536  

ฮิลลารี่ คลินตัน ซึ่งเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ประกาศว่า ตนตั้งใจจะทำงานสร้างระบบประกันสุขภาพในชาวอเมริกัน

แต่ตลอด 8 ปี ที่อยู่ในอำนาจ ก็ทำได้เพียงเล็กน้อย เพราะเสียงส่วนใหญ่ในสภาคองเกรส และวุฒิสภา

คุมโดยพรรคริพับริกัน ฝั่งตรงข้าม และอิทธิพลของบริษัทยาขนาดใหญ่มีมาก

ต่อด้วยยุคของประธานาธิบดีบุช (คนลูก) อีก 8 ปี

อีก 8 ปี จึงทำระบบประกันสุขภาพที่เรียกว่า

โดยการเจรจาต่อรองกันมากมาย ซึ่งก็ทำได้เพียงบางส่วน

ยังมีชาวอเมริกันอีกร่วม 30 ล้านคน ไม่มีประกันสุขภาพ

ที่มีประกันสุขภาพ ก็ยังต้องจ่ายเอง 40 % บ้าง 60 % บ้าง

พอมาถึงยุคทรัมป์ ก็ประกาศว่า ตั้งใจจะยกเลิก Obama Care

โดยสรุปอเมริกาใช้เวลา 27 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2536 ถึงปัจจุบัน ก็ยังทำระบบประกันสุขภาพไม่ได้ถึงไหน

ค่ารักษาจะแพงมากเป็นล้านบาท หรือหลายล้าน จำนวนมากต้องขายบ้านขายรถ

ผู้ป่วยโควิดเข้าโรงพยาบาลต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

นอนรักษาตัว 2-3 สัปดาห์

เมื่อหาย จะจ่ายบิลค่ารักษาราว 2-3 ล้านบาท

ผู้ป่วยโควิดที่ไปโรงพยาบาลส่วนใหญ่ จึงเป็นผู้ป่วยอาการหนัก ไม่ไหวแล้วจริงๆ อัตราการตายจึงสูง

ส่วนผู้ติดเชื้อที่อาการยังไม่มาก ก็จะอยู่บ้านเพราะกลัวค่ารักษาพยาบาล และเป็นตัวแพร่เชื้อระบาดในชุมชนต่อไป

ทำให้อเมริกา lockdown มาเป็นเดือนแล้ว ผู้ติดเชื้อใหม่แต่ละวันก็ยังเกิน 30,000 คน

แปลกที่รัฐบาลอเมริกามานั่งแก้ปัญหาปลายเหตุ ใช้เงินมหาศาลเกือบ 100 ล้านล้านบาทกู้เศรษฐกิจ

ทำไมไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยประกาศนโยบายรักษาโควิดฟรี ให้ผู้ติดเชื้อทุกคนกล้าไปโรงพยาบาลแต่เนิ่นๆ คุมการระบาดให้อยู่ ซึ่งถ้าทำเนิ่นๆ ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดก็จะไม่ถึง 1 ล้านล้านบาทด้วยซ้ำไป

แม้เป็นประเทศอภิมหาอำนาจ แต่ผู้บริหารประเทศไม่เก่ง

ไม่ได้ออกแบบไว้ เพื่อดูแลประชาชนโดยรวมทั้งหมด

เมื่อเกิดโรคระบาดไปถึงคนจำนวนมาก จึงเกิดโกลาหลในระบบการแพทย์ ดูแลไม่ไหว

ในปี พ.ศ.2520 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศเป้าหมายการทำงานโดยสรุปเป็นสโลแกนว่า

 “สุขภาพดีถ้วนหน้าในปี 2543”

บุคลากรทางการแพทย์ของประเทศได้ระดมความคิดกันขนานใหญ่ว่า

เราจะต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้

และสรุปสาเหตุเป็นวัฏจักรทางลบของ 3 องค์ประกอบ คือ 

เพราะจน...จึงทำให้ไม่ได้รับการศึกษาที่ดี ทำให้โง่และเจ็บไข้ได้ป่วยง่าย

เพราะเจ็บ...จึงทำให้ยากจน และขาดโอกาสทางการศึกษา

บุคลากรทางการแพทย์ของประเทศ จึงตัดสินใจมุ่งมั่นว่า

เราจะต้องช่วยกันทะลายวัฏจักรโง่ จน เจ็บ นี้ให้ได้

โดยเริ่มจากสิ่งที่เรารับผิดชอบโดยตรง คือ การดูแลสุขภาพประชาชน

ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุข ระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน ให้คำแนะนำการดูแลรักษาสุขภาพแก่ประชาชน

โดยให้ชุมชนเป็นผู้คัดเลือก ผู้มีคุณสมบัติครบ และมีจิตอาสา

โดยมีแรงจูงใจคือ การให้เกียรติ การยอมรับจากชุมชน

และสิทธิในการรักษาพยาบาลของตัวอสม. และครอบครัว

ผ่านการบ่มสร้าง ทำงานมากว่า 40 ปี

ปัจจุบันเรามี อสม.ทั่วประเทศอยู่ราว 1,040,000 คน

แต่ละคนดูแลประชาชนในพื้นที่ราว 8 – 15 ครัวเรือน

เครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขที่เข้มแข็ง เป็นระบบ ครอบคลุมทุกหย่อมบ้านอย่างนี้

เป็นสิ่งที่อเมริกา อังกฤษและประเทศทางตะวันตก ไม่มี

เครือข่ายอสม.ที่เข้มแข็งนี้ ก็ได้แสดงศักยภาพให้โลกเห็น

การรวมพลังความคิด สติปัญญาของบุคลากรทางการแพทย์ของไทย

ได้สุกงอม และบรรลุผลสำเร็จครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2544

เป็นระบบประกันสุขภาพแบบครอบคลุมประชากรทั้งหมดทั่วประเทศ

และใช้เวลาเพียง 1 ปี ตั้งแต่กำหนดนโยบาย

ทดลองใช้ในบางพื้นที่ ขยายผลบังคับใช้ทั่วประเทศ

แต่ประเทศไทยใช้เวลาเพียง 1 ปี

สร้างระบบประกันสุขภาพที่ดีที่สุดในโลกได้สำเร็จ

ผู้ป่วยโควิดทุกคนในไทย สามารถรับการรักษาฟรีจนหาย

เราไม่ต้องกลัวว่า จะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล

ผู้ป่วยโรคต่างๆ ในไทยที่มีสตางค์ ก็สามารถเลือกไปรักษาโรงพยาบาลเอกชน

 เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็สามารถไปหาหมอที่โรงพยาบาล

อาจไม่ได้อยู่ห้องพิเศษ ต้องอยู่ห้องผู้ป่วยรวม

คุณภาพการบริการไม่ดีเท่าโรงพยาบาลเอกชนที่ต้องจ่ายแพง

นี้คือ สิ่งที่ประชาชนทั่วไปในอเมริกาและอังกฤษไม่เคยได้รับ

เราจึงสามารถยับยั้งการระบาดของไวรัสโควิดได้ผลดี

จนได้รับคำยกย่องจากองค์การอนามัยโลกและสื่อของประเทศต่างๆ มากมาย